วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

(บทความแปล) - The Profession of the Architect - โดย Renzo Piano โดย: ดร.พร วิรุฬห์รักษ์






Renzo Piano

เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ปี 1937 ในตระกูลของผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียง จบการศึกษาจาก School of Architecture – Milan Polytechnic เมื่อปี 1964 ในช่วงที่เป็นนักศึกษานั้น ได้ทำงานใกล้ชิดกับ Franco Albini ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "Neo-Rationalist" designers ที่สำคัญที่สุดใน Italy และในขณะเดียวกันก็ทำงานให้กับบิดาใน Site ก่อสร้างมาตลอด ทำให้เกิดประสบการณ์ในการก่อสร้างโดยตรงมาแต่เยาว์วัย ในช่วงปี 1970 Renzo Piano ได้พบกับ Jean Prouve’ และสร้างทีมออกแบบที่จะมีอิทธิพลต่องานที่ตามๆ มามากของเขา และในปี 1971 ก็ได้ร่วมกับ Richard Rogers สถาปนิกจากอังกฤษ ก่อตั้ง Piano & Rogers เพื่อก่อสร้างอาคาร Pompidou Center ที่ชนะการประกวดและเป็นการสร้างชื่อในวงการของทั้ง 2 คน ในปี 1977 ได้ก่อตั้ง “L’Atelier Piano & Rice” ร่วมกับวิศวกร Peter Rice ที่จะทำงานระดับโลกต่อๆ มาอีกหลายงานร่วมกัน จนกระทั้ง Rice เสียชีวิตลงในปี 1993 และสุดท้าย Piano ได้ก่อตั้ง Renzo Piano Building Workshop ขึ้นที่เมือง Genoa โดยมีสมาชิกประมาณ 100 ชีวิตทำงานให้กับเขา (ประกอบไปด้วยทั้งสถาปนิก วิศวกร และ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างๆอาชีพสถาปนิกนั้นเหมือนการผจญภัยรูปแบบหนึ่ง จะเรียกได้ว่าเป็นอาชีพทัพหน้าก็ได้ พวกเราต้องเดินอยู่บนคมมีดที่แบ่งระหว่าง โลกของศิลปะและโลกของวิทยาศาสตร์ ระหว่างความทรงจำเก่าๆกับความคิดที่มีแปลกใหม่เป็นตัวของตัวเอง (Originality) ระหว่าง ความกล้าของการไปสู่โมเดิร์น และความเคารพที่ต้องมีต่อวัฒนธรรมอันเก่าแก่ สถาปนิกอย่างพวกเราไม่มีทางเลือก นอกจากมีชีตอยู่อย่างหวาดเสียวแบบนี้ (Living Dangerously) พวกเราทำงานกับวัสดุทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้หมายความแต่เพียง คอนกรีต ไม้ หรือโลหะ เท่านั้น แต่ข้าพเจ้ารวมความไปถึง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ นิเวศวิทยา ความงาม เทคโนโลยี ภูมิอากาศ และ สังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาปนิกเราต้องทำงานร่วมกับมันทุกๆ วัน
อาชีพสถาปนิก เป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลก ด้วยเหตุผลที่ว่า ในโลกใบเล้กๆ แห่งนี้ มนุษย์ได้ค้นพบสิ่งต่างเกิบครบหมดแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีดินแดนไหนในโลกที่ไม่อยู่บนแผนที่ การค้นพบสิ่งใหม่ๆ แทบจะไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่ในขณะเดียวกับ ในการออกแบบของพวกเรานั้น ยังคงเป็นเหมือนการผจญภัยที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา สำหรับการค้นหาโลกในเชิงกายภาพนั้น บรรพบุรษของเราได้จัดการเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับคนในยุคเรา สิ่งที่เหลืออยู่คือ การค้นหาสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ และจิตวิญญาณของตัวเราเอง

การออกแบบนั้น ก็เหมือนเป็นการเดินทางอย่างหนึ่ง เราตั้งใจที่จะออกค้นหาอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้จากมัน แล้วเราก็เตรียมพร้อมกับสิ่งอันไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราเกิดความกลัว และตัดสินใจที่จะล้มเลิกการเดินทาง แล้วกลับไปหาสิ่งเก่าๆที่เราเคยมี เราเคยเห็น เราเคยรู้ การเดินทางก็ล้มเหลว แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รักการผจญภัย คุณไม่หลบหนี คุณมีความกล้า และพยายามมุ่งหน้าต่อไป การทำโครงการใหม่ๆ ของคุณนั้นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางใหม่ๆ ทุกๆ ครั้ง และคุณก็จะได้เข้าไปอยู่ในจุดที่คุณไม่เคยได้พบ ไม่เคยได้เห็น และไม่เคยได้รู้จักมาก่อนอยู่เสมอ คุณจะกลายเป็น Robinson Crusoe ของโลกยุคใหม่
อาชีพสถาปนิกเป็นอาชีพที่เก่าแก่ พอๆ กับนักล่าสัตว์ ชาวประมง ชาวนา ฯลฯ มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเราได้รับมรดกตกทอดทางกิจกรรมต่างๆ มาจากบรรพบุรุษเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างก็มีการพัฒนาเป็นขั้นตอนอย่างช้าๆ หลังจากที่การหาอาหารได้จบลง มนุษย์ก็หาที่อยู่ และ ณ จุดที่ มนุษย์ตัดสินใจที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจาก สภาพความเป็นอยู่ตามมีตามเกิดแล้วแต่ ธรรมชาติจะประทานมาให้ และเริ่มสร้างสภาพแวดล้อมที่ตัวเองพอใจขึ้นมาเพื่อทำการใช้สอยอย่างที่ต้องการนั้น มนุษย์ก็กลายมาเป็น สถาปนิกผู้คนที่สร้างบ้านเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยนั้น นอกจากจะสร้างให้ตัวเองแล้ว ก็ยังสร้างให้ครอบครัว และสร้างให้ผู้คนในเผ่าของตนเอง และบ้านที่สร้างก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยจากดินฟ้าอากาศเท่านั้น แต่มักจะมากับความงาม และ การแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของตัวผู้อยู่อาศัย ณ ที่นั้นเสมอ การสร้างบ้าน ตั้งแต่เริ่มแรกของ อารยธรรมมนุษย์นั้น ก็คือการต่อสู้เพื่อค้นหา ความเป็นทีสุด ของ ความงาม (Beauty) ความมีสง่าราศรีและเกียรติยศ (Dignity) และ การแสดงออกถึงสถาณภาพ (Status) ซึ่งทั้งหมด สามารถแยกออกได้เป็น สองแนวทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนึ่งคือ ความพยายามที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และสองความความพยายามที่จะสร้างความแตกต่าง

ดังนั้น การสร้างอาคารอะไรบางอย่างนั้นจึงไม่สามารถเป็นเรื่องของเทคนิคการก่อสร้างเพียงอย่างเดียวได้ แต่จะต้องเกี่ยวพันธ์กับอะไรหลายๆ ความปราศจากความหมดจด ชัดแจ้ง (Ambiguity) เหล่านี้ คือสิ่งที่ทำให้อาชีพสถาปนิกแตกต่างออกไปจากอาชีพอื่นๆ และบุคคลใดก็ตามที่พยายามจะมอง Ambiguity เหล่านี้ กลายเป็นของง่ายๆ และสร้างคำตอบง่ายๆ ให้กับมัน บุคคลผู้นั้นไม่ได้เป็นผู้ที่จะเริ่มเดินไปสู่ความก้าวหน้าได้เลย เพียงแต่เป็นผู้ที่เริ่มจะยอมแพ้กับการเดินทางต่างหากอันดับแรกเลยคือ สถาปนิกคือใครกันแน่ – สถาปนิกจะต้องย้ำกับตัวเองไว้เลยว่า สถาปัตยกรรมนั้นคือ การบริการ (Architecture is a service) ต้องจำไว้ให้เป็นบทเรียนอันเจ็บปวดที่จะเตือนตัวเราไม่ให้หลงเข้าไปในโลกของ แฟชั่น สไตล์ และ เทรนด์ ทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะต้องยึดไว้เป็นสรณะ อย่างแน่วแน่สุดชีวิต แต่ขอให้เป็นการมองในมุมของผู้ที่ถ่อมตนว่า เรากำลังทำงานเพื่อให้บริการผู้อื่น

ผลงานที่สำคัญ
Modern Touch at The Pompidou Centre

ความพิเศษของ The Pompidou Centre ที่ออกแบบโดย Renzo Piano และ Richard Rogers นี้อยู่ที่การออกแบบเอาโครงสร้างไว้ด้านนอก เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ 7 ชั้นในตึกสำหรับกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เปลือกนอกของตึกจึงเต็มไปด้วยคานเหล็ก โครงเหล็ก และ บรรดาท่อหลากสีที่พันเกี่ยวกันให้วุ่นวายตา ไม่เรียบร้อยเหมือนตึกรามปกติ ซึ่งนอกจากเพื่อเหตุผลทางศิลปะแล้ว สีต่างๆ ยังมีความหมายในเชิงการดูแลรักษาด้วย สีฟ้าคือท่อแอร์ สีเขียวคือท่อประปา สีเหลืองคือท่อไฟฟ้า และ สีแดงคือลิฟต์ บันไดเลื่อน และระบบรักษาความปลอดภัย

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

My Project

STUDIO 3/2 Condo&Complex @ Chaingmai


STUDIO 3/1 Comunitymall @ Bangkok